วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คำทำนายโลกในอนาคต จาก ฮูเซลีนโย่


นายฮูเซลีนโย่ ชาวบราซิลเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2503 (คาดว่าปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) เป็นผู้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคตมามากมาย ซึ่งหลายเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมาแล้วเกิดขึ้นจริงตามที่เขาทำนายเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงไดอาน่าจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, เหตุการณ์ 911 และการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ พ.ศ. 2549

ทั้งนี้ ฮูเซลีนโย่เล่าว่า "เขาเห็นอนาคตในฝันของเขาซึ่งสามารถทำนายได้ 3-9 คำทำนายต่อวัน" โดยเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็จะรีบบันทึก และส่งเตือนผู้คนที่เกี่ยวข้องทันที ถ้าหากเหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่ง เขาก็จะเขียนจดหมายไปเตือนคนผู้นั้น หรือหากเกิดขึ้นกับคนมีชื่อเสียง เช่น คนดัง นักการเมือง หรือเป็นเรื่องของอนาคตที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชน เขาก็จะส่งจดหมายเตือนไปยังเอเย่นต์ที่เกี่ยวข้อง รัฐบาล และตามสื่อต่างๆ โดยฮูเซลีนโย่พยายามกระตุ้นให้มีการเผยแพร่คำทำนายของเขาออกไป แต่ก็มักได้รับการปฏิเสธด้วยเกรงว่าจะทำให้ผู้คนเกิดความตระหนก

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หรืออนาคตที่ "ฮูเซลีนโย่" ได้ทำนายไว้มีดังนี้:
กรกฎาคม 2551: จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูง 30 เมตร
18 กันยายน 2551: จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดประมาณ 9.1 ริกเตอร์ที่ประเทศจีน ในขณะเดียวกันก็เกิดคลื่นสึนามิสูง 30 เมตร มีคนตายจากเหตุการณ์นี้มากกว่า 1 ล้านคน แม้ว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหลังกีฬาโอลิมปิกจบได้ไม่นาน ก็อาจจะมีแผ่นดินไหวขนาดย่อมเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ ในจีนก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุด รัฐบาลจีนยังคงสนใจกับการประสบความสำเร็จของกีฬาโอลิมปิก จนเพิกเฉยต่อมาตรการเตือนภัย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตที่สูงมาก หากรัฐบาลจีนไม่ประกาศถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทำการอพยพผู้คน จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะเป็นไปตามที่ทำนาย
17 ธันวาคม 2551: จะเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในอเมริกา
ปี พ.ศ. 2553: บางประเทศในทวีปแอฟริกา จะมีอุณหภูมิสูงถึง 58 องศาเซลเซียส และจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ
15 มิถุนายน 2553: ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คจะร่วง ทำให้เกิดวิกฤติทางด้านการเงินระหว่างประเทศ
พ.ศ. 2554: การวิจัยในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งบางชนิดจะประสบความสำเร็จ แต่จะเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะคร่าชีวิตมนุษย์ทันทีหลังจากติดเชื้อเพียงแค่ 4 ชั่วโมง
1-25 พฤศจิกายน 2556: การวิจัยในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งจะประสบความสำเร็จ ยกเว้น การรักษาเนื้องอกในสมอง จะเกิดแผ่นดินไหวจากภูเขาไฟระเบิดที่เกาะบาฮามาส ในหมู่เกาะคานารี เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูง 150 เมตร บริเวณแผ่นดินใหญ่ของอเมริกาและบราซิล จะได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ ที่กระหน่ำชายฝั่งไกลถึง 15-20 กิโลเมตร ก่อนเกิดคลื่นยักษ์ ระดับน้ำทะเลต่อมหาสมุทรจะลดลงไปประมาณ 6 เมตร และนกฝูงใหญ่จะเริ่มอพยพ
พ.ศ. 2557: ดาวเคราะห์ขนาดเล็กที่ได้เคลื่อนที่เข้าใกล้โลกเรื่อยๆ นั้น จะชนกับโลกในที่สุด ซึ่งการชนกันครั้งนี้ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ทั้งปวง

พ.ศ. 2558: ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน โลกจะมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงถึง 59 องศาเซลเซียส หลายคนจะตายจากสภาวะอากาศที่ร้อนเกินไป และความยุ่งเหยิง หรือความหวาดกลัวต่างๆ ที่ตามมา
เดือนเมษายน พ.ศ. 2559: พายุไต้ฝุ่นขนาดยักษ์จะบุกรุกประเทศจีน ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ประธานาธิบดีคนที่ 43 ของสหรัฐอเมริกา นายจอร์จ วอคเกอร์ บุช จะเข้าโรงพยาบาลและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ระหว่างความเป็นและความตาย
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2569: เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "The Big One" ส่งผลให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ต่อพื้นที่รอบข้าง ภูเขาไฟหลายลูกจะติดขึ้นอีกครั้ง และเกิดคลื่นสึนามีสูงกว่า 150 เมตร
จากการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ในอนาคตครั้งนี้ นายฮูเซลีนโย่ หวังเพียงให้ผู้คนสนใจคำเตือนของเขา เพื่อที่ว่า อาจช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงหายนะเหล่านั้นได้ เขาหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องความคิด ความเชื่อ และะทัศนคติของมนุษย์ในช่วง พ.ศ. 2551-2552 นี้ ซึ่งปัจจัยที่ถือว่ามีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เรื่องของภาวะโลกร้อน หรือ Global Warming

กรกฎาคม 2551:

จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูง 30 เมตร

18 กันยายน 2551:

จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดประมาณ 9.1 ริกเตอร์ที่ประเทศจีน ในขณะเดียวกันก็เกิดคลื่นสึนามิสูง 30 เมตร มีคนตายจากเหตุการณ์นี้มากกว่า 1 ล้านคน แม้ว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหลังกีฬาโอลิมปิกจบได้ไม่นาน ก็อาจจะมีแผ่นดินไหวขนาดย่อมเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ ในจีนก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุด รัฐบาลจีนยังคงสนใจกับการประสบความสำเร็จของกีฬาโอลิมปิก จนเพิกเฉยต่อมาตรการเตือนภัย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตที่สูงมาก หากรัฐบาลจีนไม่ประกาศถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทำการอพยพผู้คน จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะเป็นไปตามที่ทำนาย

17 ธันวาคม 2551:

จะเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในอเมริกา

ปี พ.ศ. 2553:

บางประเทศในทวีปแอฟริกา จะมีอุณหภูมิสูงถึง 58 องศาเซลเซียส และจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำ

15 มิถุนายน 2553:

ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คจะร่วง ทำให้เกิดวิกฤติทางด้านการเงินระหว่างประเทศ

พ.ศ. 2554:

การวิจัยในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งบางชนิดจะประสบความสำเร็จ แต่จะเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่จะคร่าชีวิตมนุษย์ทันทีหลังจากติดเชื้อเพียงแค่ 4 ชั่วโมง

1-25 พฤศจิกายน 2556:

การวิจัยในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งจะประสบความสำเร็จ ยกเว้น การรักษาเนื้องอกในสมอง จะเกิดแผ่นดินไหวจากภูเขาไฟระเบิดที่เกาะบาฮามาส ในหมู่เกาะคานารี เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูง 150 เมตร บริเวณแผ่นดินใหญ่ของอเมริกาและบราซิล จะได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ ที่กระหน่ำชายฝั่งไกลถึง 15-20 กิโลเมตร ก่อนเกิดคลื่นยักษ์ ระดับน้ำทะเลต่อมหาสมุทรจะลดลงไปประมาณ 6 เมตร และนกฝูงใหญ่จะเริ่มอพยพ

พ.ศ. 2557:

ดาวเคราะห์ขนาดเล็กที่ได้เคลื่อนที่เข้าใกล้โลกเรื่อยๆ นั้น จะชนกับโลกในที่สุด ซึ่งการชนกันครั้งนี้ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ทั้งปวง

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เยติ:มนุษย์หิมะ

เยติ(Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ(The Abominable Snowman) เป็นมนุษย์วานรในตำนานของชาวภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล คำว่า เยติ เป็นคำที่ชาวเซอร์ปาร์ผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงใช้เรียกมนุษย์วานรนี้
เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขา คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง เยติเริ่มเป็นที่รู้จักโดยบุคคลภายนอกจากนักบุกเบิก ในปลายยุค 1950 และ 1960

เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์กับประเทศเนปาล นำรายได้จากชาวต่างชาติ มีสายการบินเยติแอร์ไลน์ และโรงแรมแยกแอนด์เยติ (Yak and Yeti, Yak หมายถึง จามรี)

ณ วัดแห่ง หนึ่ง ในร่มเงาของยอดเขาเอเวอเรสต์ ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า มักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวัดอยู่ เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงาน ไปยังกาฐมาณฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปาผู้หนึ่งชื่อว่าลาคห์หาโดมานิ " เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดได้นอกจากว่านั้น คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฏหลักฐานที่ยังต้องทำการค้นหากันต่อไป "

เนสซี:สิ่งมีชิวิตลึกลับในทะเลสาบล็อกเนสส์

เนสซี(Nessie) คือ สิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส(Plesiosaur) หรือ อีลาสโมซอรัส(Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปีที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

ใน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่าขณะเขาขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัวทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมาทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซนาร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีปสแกน"(Deepscan Operation) ปรากฏว่าโซนาร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดาๆ


เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อนั้นเชื่อว่าเนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนสส์ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิดและปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนสส์ที่อื่นๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อนั้นเชื่อว่ารูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำหรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำ

ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก


ปัจจุบันทางบริษัทวิลเลียมฮิลล์ บริษัทพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้ประกาศออกมาว่าจะให้เงินรางวัลจำนวน 1 ล้านปอนด์หรือประมาณ 70 ล้านบาทแก่ผู้ที่สามารถหาหลักฐานได้ว่าเนสซีมีอยู่จริง ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) นายกอร์ดอน โฮล์มส เจ้าหน้าที่เทคนิคห้องแล็บได้อ้างว่า สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเนสซีได้ด้วยความยาวถึง 2 นาทีครึ่งขณะนั่งชมทิวทัศน์อยู่ริมทะเลสาบล็อกเนสส์ ซึ่งภาพของนายโฮล์มสครั้งนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นของเนสซีที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นายเอเดียน ไชน์ นักชีววิทยาสัตว์น้ำ ได้ตรวจสอบภาพของนายโฮล์มสแล้วมีความเห็นว่า เป็นการยากที่จะเป็นการตกแต่งหรือทำปลอมขึ้น เพราะภาพไม่ได้จับเฉพาะแต่สัตว์ประหลาด แต่ยังถ่ายไปถึงภูเขารอบทะเลสาบด้วย จึงสามารถเปรียบเทียบความเร็วและขนาดของสิ่งที่เคลื่อนไหวในน้ำได้ด้วย โดยเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยการว่ายน้ำด้วยความเร็วถึง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และภาพบางส่วนยังจับให้เห็นสิ่งที่คล้ายครีบด้วย ซึ่งวีดีโอภาพชุดนี้เป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานอย่างมากในสหราชอาณาจักร เมื่อได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะโดยสำนักข่าวบีบีซีในอีก 3 วันถัดมา มีผู้คนมากมายที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ และต่อมาไม่นานได้มีการเปิดเผยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่งจะเปิดเผยข้อมูลลับว่า ทางรัฐบาลเชื่อว่า เนสซีมีอยู่จริง ตั้งแต่สมัยนางมาร์กาเรต แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี และอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองและอนุรักษ์สัตว์ป่าของอังกฤษที่ครอบคลุมทั้งสัตว์ที่รู้จักและไม่รู้จักหลายชนิด

[แก้] อ้างอิง

ฟาโรห์ตุตันคาเมน


ฟาโรห์ตุตันคาเมน(ตุตันคามุน) เป็นฟาโรห์ในราชวงค์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณซึ่งมีพระชนม์เพียง 9-10 ชันษา ครองราชย์ระหว่าง 1325-1334 ปีก่อนคริสตกาล การบริหารบ้านเมืองจึงตกอยู่กับวิซิเออร์ อัยย์(Vizier Ay) ฟาโรห์ตุตันคาเมนได้ครองราชย์ในรัชสมัยของพระองค์ช่วงสั้นๆ ราว 9 ปี ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เป็นเพราะฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิซิเออร์ อัยย์จึงได้สร้างสุสานถวายแบบง่าย

ราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของรามเสสที่ 6ทับสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ทั้งๆ ที่คนงานก็รู้แต่นึกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจึงไม่ได้เสนอเบื้องบน จึงทำให้มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนปลอดภัย นับเป็นสุสานที่สมบูรณ์ที่สุด

พระนางเนเฟอร์ติติเป็นมเหสีองค์แรกของอาเมนโฮเทปที่ 4 เป็นเจ้าหญิงจากไมตานนี(Mitanni) ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งแถวๆ ทางเหนือเมโสโปเตเมียทั้งสองไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดา 6 พระองค์ พระธิดาองค์ที่ 3 ทรงเป็นราชินีของฟาโรห์ตุตันคาเมน

ฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์อย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่ยังไม่ครบ 19 ชันษา อีกทั้งไม่มีองค์รัชทายาทวิซิเออร์ อัยย์ รีบฉวยโอกาสแต่งกับราชินีม่ายเพื่อจะได้ครอบครองดินแดนอียิปต์ต่อไป

คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน
ลอร์ด คาเนวอนได้ว่าจ้างคณะสำรวจของคาร์เตอร์ เพราะต้องการให้มีการสำรวจสุสานฟาโรห์ หนึ่งเดือนต่อมา ลอร์ด คาเนวอนก็เสียชีวิตขณะพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงไคโร[ประเทศอียิปต์] ในเวลาเดียวกันที่บ้านของลอร์ด คาเนวอนที่ประเทศอังกฤษมีสุนัขอยู่หนึ่งตัว ซึ่งลอร์ด คาเนวอนได้เลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้ได้ส่งเสียงเห่าหอนในตอนดึกเหมือนกับว่าได้รู้ว่าลอร์ด คาเนวอนเสียชีวิตลงแล้ว หนึ่งปีผ่านไปคนงานในคณะสำรวจของคาร์เตอร์เสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 ปีได้มีการเปิดหลุมศพอีกครั้งแต่ในครั้งนี้ได้มีคนตายอีกถึง 12 คน

ภาพถ่ายติดวิญญาณที่ชัดเจนที่สุดในโลก


บีบีซีนิวส์ของอังกฤษแพร่ภาพถ่ายติดวิญญาณที่ชัดเจนที่สุดในโลก จากการโหวตของประชาชนที่มีคนส่งภาพมาให้ช่วยตรวจสอบกว่า 250 ภาพจากทั่วทุกมุมโลก ปรากฏว่าเป็นภาพน่าขนหัวลุกของคนที่สวมเครื่องแต่งกายโบราณยืนมองลอด หน้าต่างของปราสาทในสกอตแลนด์ มีคนตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นกษัตริย์เจมส์ที่ 5 แห่ง สกอตแลนด์ก็เป็นได้ ผู้เชี่ยวชาญยืนยัน ไม่มีการแต่งภาพแน่นอนบีบีซีนิวส์รายงานจากกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ว่า ศาสตรา จารย์ ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยาผู้ศึกษาในเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมาแล้วหลายแขนง จึงได้แนวคิดในอันที่จะตรวจสอบเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณเมื่อช่วงกว่าหนึ่ง เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นจึงร้องขอให้บุคคลทั่วไปช่วยส่งภาพถ่ายที่เชื่อว่าสามารถถ่ายติด วิญญาณได้มาให้นัก วิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่าได้รับภาพถ่ายจาก ทั่วทุกมุมโลกกว่า 250 ภาพ ที่เชื่อว่าถ่ายติดวิญญาณ จากนั้นจึงให้ประชาชนทั่วไปช่วยกัน โหวตว่า ภาพใดสมควรจะเป็นภาพถ่ายติดวิญญาณ ที่ชัดเจนที่สุดในโลกปรากฏว่าภาพที่ได้รับการโหวตมากที่สุดนั้น เป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว เป็นภาพของบุคคลหนึ่งซึ่งไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง สวมผ้าที่พับเป็นแผงใช้สวมรอบคอในศตวรรษที่ 16-17 มองลอดผ่าน กรงเหล็กกั้นหน้าต่าง อยู่ที่ปราสาทแทนทาล ลอน ในนอร์ธ เบอร์วิค เมืองอีสต์ โลเธียนของสกอตแลนด์ ผู้ที่ถ่ายภาพนี้ไว้เป็นนักท่องเที่ยวชื่อนายคริสโตเฟอร์ อิทชิสัน กล่าวว่า ไม่ทราบมาก่อนว่ามีอะไรมาปรากฏในภาพถ่ายของตน ตนเพิ่งมาพบข้อผิดสังเกตเมื่อกลับมาถึงบ้าน ตนยืนยันว่าไม่เคยเห็นหญิงสูงวัยสวมชุดแต่งกายโบราณเดินรอบบันไดขณะที่ถ่ายภาพดังกล่าวก็ไม่มีใครยืนอยู่แถวนั้นอย่างแน่นอน ไม่มีการใช้หุ่นสวมเครื่องแต่งกายโบราณในปราสาท และไม่มีมัคคุเทศก์ในพื้นที่ที่สวมเครื่องแต่งกายโบราณ ตนได้ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพมาตรวจสอบภาพนี้แล้ว ยืนยันว่า ไม่มีการตกแต่งภาพแต่อย่างใด “บางคน อาจคิดว่าอาจเป็นแสงที่ตกมากระทบกับก้อนหินจึงเกิดเป็นภาพนี้ขึ้นมา แต่มีอยู่คนหนึ่งที่บอกว่า ภาพนี้อาจเป็นกษัตริย์เจมส์ที่ 5 แห่ง สกอต แลนด์” นายอิทชิสันกล่าวในที่สุดด้านศาสตราจารย์ริชาร์ด ไวส์แมน กล่าวด้วยว่า ตนเองในฐานะผู้ที่ศึกษาเรื่องความลี้ลับของวิญญาณนั้น บอกได้เลยว่า ใบหน้าต่าง ๆ ที่ในชีวิตคนเราต้องเห็นนั้น ได้โปรแกรมสมองของคนเราให้จดจำเอาไว้ เมื่อได้เห็นภาพใบหน้าเหล่านั้นอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่มีจริงก็ตาม ตนเชื่อว่าอาจมีคนอื่นอีกที่ได้เห็นใบหน้าที่แปลก ๆ เช่นนี้ และบางทีอาจมีชัดเจนกว่านี้อีกโครงการประกวดภาพถ่ายติดวิญญาณที่ชัดเจนที่สุดในโลกนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เทศกาล วิทยาศาสตร์นานาชาติเอดินบะระ ซึ่งจะมีการหยิบยกขึ้นมาหารือหรือแสดงความคิดเห็นสักหนึ่งวันในงานเทศกาลนี้ โดยตั้งชื่อว่า “สิ่งลี้ลับ” แล้วก็จะมีการนำหลักฐานที่มีมาวิเคราะห์และตรวจสอบว่า ผีมีจริงหรือไม่ ขณะที่ ดร.แคโรไลน์ วัตต์ ผู้ร่วมจัดงานจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ กล่าวเสริมว่า แม้มีหลักฐานภาพถ่ายที่สาธารณชนส่งเข้ามามากมายเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ แต่ภาพเหล่านี้ก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานของวิญญาณ และถ้าวิญญาณมีอยู่จริงก็คงจะอายกล้อง ไม่กล้าออกมาให้เห็น.

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ ของเรือ หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทาง เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการ สูญหาย หน่วยยามฝั่งที่ เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุด กองทัพเรือสหรัฐ ก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใด ๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้ง ๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่าง ๆ และเชื่อว่า จะต้องมี แรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มี นักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือ ฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจน กระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับและ ความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

มีผู้ให้ความคิดเห็นและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป บ้างก ็ว่าเนื่องมา จากความปั่นป่วน ของท้องน้ำ ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากแผ่นดินไหว ใต้มหาสมุทร หรือเกิดจากอุกาบาตเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น ได้พุงเข้าชนเครื่องบิน และทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา รังควานเป็นครั้งเป็นคราว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ให้คำอธิบาย ที่อาจ เป็นไปได้ว่า เครื่องบินและเรือเหล่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปยังอีกมิติหนึ่ง ด้วย การกระทำของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อีก ทฤษฏีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า เครื่องบินอาจพุ่งดิ่งลงสู่ทะเล เพราะแรงดึงดูด ของ สนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือแรงโน้มถ่วงของโลก ที่เกิดจากฝีมือการกระทำของสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญาสูง เมื่อเครืองบิน นั้นร่อนลงสู่พื้นน้ำนักบินและลูกเรือก็จะถูกจับตัวโดย มนุษย์จากจานบิน (UFO) ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวโลก ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลือรอดมีชีวิต สืบต่อกันมาจากสงครามนิวเคลียร์มหาประลัย ที่เกิดขึ้น ในกาลก่อน หรือเป็นมนุษย์จากอวกาศนอกโลก หรือมนุษย์ในอนาคต ที่ต้องการ รวบรวมตัวอย่างการดำรงชีวิตของ ชาวโลก เพื่อการศึกษาค้นคว้า หรือป้องกันภัย ที่จะเกิด จากอาวุธนิวเคลียร์ ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง

มีอยู่หลายกรณีเกี่ยวกับการสืบสวนความลึกลับของเรื่องนี้ ที่เจ้าหน้าที่มุ่งตรงใน ประเด็นซึ่งเกี่ยวกับท้องทะเล โดยเฉพาะเพราะแม้ว่า เราจะอยู่ในสมัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ อวกาศก็ตาม แต่ความลึกลับของท้องทะเล ยังคงเป็นสิ่งมืดมน สำหรับพวกชาวโลกอยู่ ก่อน อื่นเราจะต้องรับความจริงที่ว่า 3 ใน 5 ส่วนของพื้นใต้มหาสมุทร เรายังรู้จักกันน้อยกว่า ปล่องภูเขาไฟในดวงจันทร์ หรือพื้นราบบนดาวอังคารเสียอีก เรามีแต่แผนที่ทางทะเล ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบ ๆ จากการ สำรวจโดยใช้เสียงสะท้อนของโซน่า ใช้เครื่องดำน้ำลึก หรือเรือดำน้ำที่มีเขตจำกัดสำรวจได้เฉพาะพื้นน้ำที่ไม่ลึกนัก เท่านั้น และความประสงค์ ส่วนใหญ่ จะมุ่งเฉพาะการค้นหาแหล่งน้ำมัน และทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นเอง เรายัง ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในส่วนก้นบึ้งที่ลึกที่สุด มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจ อย่างใหญ่หลวงให้แก่พวกเราบ้าง พื้นทะเลลึกและหุบเหวใต้ท้องทะเล อาจจะเป็นที่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองและฉลาดเกินกว่าเราจะคาดคิด ก็เป็นได้
ความลึกลับมหัศจรรย์ ใต้ท้องทะเล หาได้หยุดยั้งเพียงเท่าที่กล่าวมาแล้วไม่ นิยายปรัมปรา เล่าลือสืบต่อเนื่องกันมา เกี่ยวกับพิภพ และสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเล โดย ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งการค้นพบหลักฐานซากเมืองโบราณ ใต้พื้นน้ำ ลึกเป็นพัน ๆ ฟุต ในหลายส่วนของพื้นมหาสมุทรทั่วโลก ยิ่งทำให้เรื่องพิลึกกึกกือได้รับความสนใจจาก ความอยากรู้ อยากเห็นของชาวโลกยิ่งขึ้น เราเคยทราบวัฒนธรรม และความรุ่งโรจน์ ของ ชาวเมืองแอตแลนติส โบราณจากบันทึกของ มหาปราชญ์เพลโตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันนักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์ ต่างเชื่อมั่นว่าอาณาจักรแอตแลนติก อันเคยรุ่งเรือง ด้วยอารยธรรมมาก่อนนั้นมีจริง ขณะนี้เมืองทั้งเมืองได้จมหายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร แอตแลนติคที่ใดที่หนึ่ง

อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่โคลัมบัสเมื่อห้าร้อยปีก่อน คือส่วนหนึ่งของ กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ตรีม ที่เรียกกันว่าสายน้ำขาว พื้นน้ำบริเวณนี้จะมองเห็นสุกใส ด้วย แสงเรืองเป็นทางยาว ระยะทางเป็นไมล์ ๆ ใกล้ ๆ กับ บาฮามัส ซึ่งในปัจจุบันแสงเรือง บนพื้นน้ำเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏอยู่การตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดการเรืองแสงของจุลินทรีย์ในน้ำที่ถูกฝูงปลารบกวนหรือเป็นแสงเรืองที่เกิดจาก กัมมันตภาพรังสี หรืออาจเป็น การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาใต้ท้องทะเลกันแน่ และยิ่งกว่านั้น มีเหตุผลพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พื้นที่ใต้มหาสมุทรแถวนั้นอาจเป็นที่ตั้งฐาน ใต้น้ำ ของชาวนอกโลก ที่มาศึกษาชีวิตความเป็นไปในโลกของเราก็ได้ และแสงเรือง ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ยานอวกาศของพวกเขาทราบตำแหน่งที่ตั้งและมองเห็นได้ ชัดเจน ก่อนที่ยานอวกาศจะเข้าสู่บรรยากาศโลก เหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ท่านอย่าเพิ่ง เชื่อปักใจ ไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัด ปรากฏการณ์ประหลากชองสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่มืดมนสำหรับเราอยู่

แอตแลนติส อารยะนครที่สาบสูญ - Atlantis Continent Cyprus


แอตแลนติส มหานครที่สาปสูญ... เอ่ยชื่อแอตแลนติส คงมีน้อยคนที่บอกว่าไม่เคยได้ยิน เรื่องนี้เขาคุยกันมาเป็นพันปีแล้ว ตั้งแต่ระดับปราชญ์ กรีก จนถึงสมาชิกสภากาแฟธรรมดาอย่างเราๆ ถ้าจะถามต่อไปว่า ก็แล้วแอตแลนติส มีจริงๆหรือว่ายกเมฆมา โดยตัวอาตมันของแต่ละคนแล้ว คงจะตอบให้จะๆลงไปไม่ได้ ทุกวันนี้ปากกัดตีนถีบสะบักสะบอมจะแย่แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปค้นคว้ากันล่ะ ก็เลยไปคว้าที่คนอื่นเขาค้นมาลองวิเคราะห์กันดูปัญหาใหญ่ๆเกี่ยวกับแอตแลนติส 1.มันจริงหรือเปล่า 2.ถ้ามี มันควรจะอยู่ที่ไหน 3.อาณาจักรแห่งนี้มีโอกาส โผล่ขึ้นมา ให้เราเห็นกันได้หรือไม่
จากเพลโต้ หลักฐานเจิ่มแรกเกี่ยวกับแอตแลนติส มีอยู่ในหนังสือของเพลโต ที่เขียนราว 400 ปีก่อนคริสตกาล เขียนเป็น เชิง สนทนาระหว่างเพลโต้กับปราชญ์ชาวกรีกชื่อ "ไครทีอัส กับ มีเมอุส" ในหนังสือนั้นบอกว่าเรื่องราว ของ แอตแลนติส รับฟังมาจาก โซลอน หนึ่งในเจ็ดเปรื่องปราดชาวกรีก ซึ่งโซลอนรับฟังเรื่องนี้จาก ซอนคิส พระชาว อียิปต์อีกต่อหนึ่ง โซลอนไปได้เรื่องนี้มาระหว่างเดินางท่องเที่ยวหลังจากออกจากราชการไปยังเมืองซาอีส์ ซึ่งอยู่ แถวปากแม่น้ำ ไนล์ใน อียิปต์ อันเป็นศูนย์กลางอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลก เรื่องนี้เกิดเมื่อราว 600 ปีก่อน คริสตกาล ซอนคิสเอาบันทึก หลักฐานเกี่ยวกับอียิปต์โบราณ (ซึ่งปัจจุบันนี้ศูนย์หายไปแล้ว) มาให้โซลอนดู แล้วเรื่องราวของแอตแลนติส เมื่อ หลายพันปีก่อนก็พรั่งพลูออกมา หนังสือของเพลโต้เลย เหลือเป็นหลักฐาน เพียงอย่างเดียวที่พูดถึงแอตแลนติส ความที่มันเป็นบทสนทนานี่เองเลยทำให้แยกแยะลำบากว่าตรงไหนจริง ตรงไหนฝอยเพิ่ม แต่อย่างน้อยๆ ก็มีคน ที่เชื่อว่าแอตแลนติส เป็นเรื่องกุขึ้น คนๆนั้นก็คือ อริสโตเติ้ลลูกศิษย์ เอกของเพลโต้นั่นเอง ความเคลือบแคลงนี้ก็ยืดเยื้อออ..มานับศตวรรษแล้ว

ระยะเวลากว่า 9000 ปีก่อนคริสตกาล ลิเบีย (ทวีปแอฟริกาทั้งหมด ยกเว้นอียิปต์) ยุโรปจากสเปนถึงอิตาลีตก อยู่ภายใต้การปกครองของแอตแลนติส ทวีปเกาะที่อยู่ทางตะวันตกของเสาหินแห่งเฮอราคลิส (ชื่อเดิมของช่อง แคบยิบรอลตาร์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ชาวแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ โพไซดอน (เทพเจ้าแห่งทะเล) และตั้งชื่อเกาะตามชื่อของยักษ์แอตลาส ลูกชายคนหนึ่งของโพไซดอน ชาวประชาอยู่อย่างสุขสงบหลายพันปี ต่อมาทำสงครามกับยุโรปและเอเซีย โดยเฉพาะกรีก หลังจากนั้นไม่นาน ดินแดนเกริกไกรแห่งนี้ก็กลับ ล่ม สลายไปภายในชั่ววันกลับคืนเดียวเพราะน้ำท่วม แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด "บริเวณใจกลางเกาะเป็น ที่ราบซึ่งกล่าวกันว่าสวยงามและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาที่ราบทั้งปวง ในที่ราบนี้มีเนินเขาลูกหนึ่งขนาด ไม่ใหญ่นัก ประมาณ 50 สเตด(Stade) หรือ 6 ไมล์หรือ 10 กิโลเมตร นอกจากเกาะที่อยู่ใจกลางแล้ว ถัดออกมา ยังมีผืน น้ำเป็นรูปวงแหวนคั่นระหว่างแผ่นดินด้วย ว่ากันว่าเทพโพไซดอน เป็นผู้ขุดคลองรูปวงแหวนเหล่านี้ ทำให้มีลักษณะคล้ายคูเมือง แรกๆดินแดนที่ถูกคั่นนี้ไปมาหาสู่กันไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักเรือและการแล่นเรือ ต่อมาเกิดผืนดินเล็กๆเชื่อม และชนรุ้นหลังก็รู้จักทำอุโมงค์และแล่นเรือ บริเวณใจกลางเกาะเป็นสถาน ที่ สีกการะ เทพโพไซดอนกับไคลโต(มเหสีชาวมนุษย์โลก) มีกำแพงทองล้อมรอบเป็นเขตหวงห้าม นอกจากนี้ยัง มีวิหารของโพไซดอนอีกแห่งหนึ่งต่างหาก ตัววิหารฉาบด้วยเงิน ตัวเทวรูปเป็นทอง รอบๆวิหารเป็นรูปปั้น ของ กษัตริย์องค์ต่อมาอีก 10 องค์พร้อมมเหสี มีน้ำพุใต้ดินสองแห่ง แห่งหนึ่งร้อน อีกแห่งหนึ่งเย็น ใช้เพราะปลูกกับ อาบ และกิน ที่อยู่อาศัยแบ่งเป็นสัดส่วนสำหรับราชวงค์ ชาวบ้านธรรมดา ผู้หญิง ม้าและสัตว์เลี้ยงอื่นๆ น้ำจาก น้ำพุถูก ลำเลียงส่งไปยังบริเวณเพราะปลูกที่เรียกว่า Grove of Poseidon และส่งต่อไปยังพืนดินรอบๆนอก บนผืนดินที่เป็นวงแหวนล้อมรอบยังมีวิหารมากมายสำหรับบูชาเทพเจ้าต่างๆ สวนหย่อนใจ โรงยิม และสนามม้า สำหรับให้ออกกำลังกาย และยังมีท่าจอดเรือชั้นในด้วย รอบนอกสุดของดินแดนนี้ล้อมรอบด้วยกำแพง ห่างจาก วงแหวนในสุดประมาณ 50 สเตด เป็นกำแพงที่หนาแน่นมาก มีส่วนหนึ่งจดหน้าผาริมทะเล ตรงนี้เป็นเขต ชุมชนหนาแน่นรอบนอก ท่าเรือมีเรือสินค้าจากแดนไกลมาจอดเทียบ ทำให้คึกคักมากตลอดทั้งวันทั้งคืน

กลางมหาสมุทรแอตแลนติส การโต้เถียงเริ่มมาเผ็ดมันดุเดือดเอาสมัยศตวรรษที่ 19 ราวปี 1882 มีนักกฎหมาย นักการเมืองและนักค้นคว้า ชาว อเมริกันชื่อ อิกนาเทียส ดอนเนลลี่ ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Atlantis : The Antediluvian World เปรี้ยงออกมา บอกว่าแอตแลนติส ก็คือ เกาะอซอเรส ในกลางมหาสมุทรแอตแลนติส ใกล้ๆช่องแคบยิบรอลตาร์นี่แหละ (ตำแหน่งตามคำบอกเล่าของเพลโต้) ทฤษฎีของดอนเนลลี่ทำเอาวงการนักแอตแลนติสวิทยาปั่นป่วน เพราะถูก ข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่นำมาปะติดปะต่อกันระดมยิงอุตลุด ทฤษฎีนี้จึงค่อนข้างมีอิทธิพลกับความเชื่อของคนมาก ดอนเดลลี่ยังพยายามพิสูจน์ว่า แอตแลนติส ก็คือดินแดนที่ถูกนำไปกล่าวอ้างอิงใน เทพนิยายและตำนาน ของขนชาติต่างๆ เป็นสวนสวรรค์แห่งอีเดน เป็นยุคทองของมนุษย์ชาติที่มีความเจริญทางอารยธรรมสูงมาก เป็นต้นตอของภาษาตัวอักษร เข็มทิศ การเดินเรือ ดินปืน กระดาษ ผ้าไหม ดาราศาสตร์ การเกษตร และเป็น บรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆหลายเผ่าทั่วโลก ก่อนยุคน้ำท่วม แต่ถูกภัยพิบัติธรรมชาติทำลายให้จมลง มีคนเพียง ไม่กี่กลุ่มที่รอดชีวิตมาได้ กระจัดกระจายไปสู่ดินแดนต่างๆ ทำให้มีตำนานเรื่องน้ำท่วมเล่าสืบต่อกันมา